เมื่อเมล็ดกาแฟถูกตากจนแห้ง เมล็ดกาแฟจะมีรสชาติที่เป็นผลไม้มากขึ้น อันเนื่องมาจากการหมักจนเกิดเป็นความหวานตามกระบวนการตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเมื่อเรานำเมล็ดกาแฟมาทำความสะอาดก็จะชะล้างความหวาน และเหลือทิ้งไว้เพียงรสชาติกาแฟที่เข้ม
ก่อนคั่วเมล็ดกาแฟ จะต้องผ่านขั้นตอนการเตรียมพิเศษ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งการล้างหรือกระบวนการทางธรรมชาติ
กระบวนการเตรียมกาแฟแบบแห้ง/แบบธรรมชาติ
กระบวนการเตรียมแบบแห้งหรือที่เรียกว่ากาแฟดิบหรือกาแฟธรรมชาติ เป็นวิธีแปรรูปกาแฟที่เก่าแก่ที่สุด หลังการเก็บเกี่ยว ผลเชอร์รี่ทั้งหมดจะถูกทำความสะอาดและนำไปตากแดดให้แห้งบนโต๊ะบนลาน กระบวนการธรรมชาติ/แห้งหมายถึงการที่เมล็ดถูกทำให้แห้งในเชอร์รี่ก่อนที่จะแยกเนื้อออก การขจัดเนื้อเยื่อเป็นกระบวนการแยกเมล็ดกาแฟออกจากเนื้อชั้นนอก หลังจากเก็บผลเชอร์รี่กาแฟแล้ว จะต้องแยกเนื้อออกภายใน 24 ชั่วโมง หากเชอร์รี่ผ่าน 24 ชั่วโมงโดยไม่เอาเนื้อออก เชอร์รี่ก็อาจส่งผลให้เกิดกลิ่นเน่าเสียซึ่งอาจทำลายคุณภาพของกาแฟได้
กระบวนการเตรียมกาแฟแบบเปียก/ล้าง
กระบวนการล้างคือการทำให้เมล็ดกาแฟแห้งโดยไม่ใช้ผลเชอร์รี่ โดยจะต้องปอกเปลือกออก แล้วหมักเพื่อช่วยในการแยกเพกตินที่เหลือออกจากถั่วและเนื้อเยื่อต่าง ๆ จากนั้นสุดท้ายเมล็ดจะถูกล้างและทำความสะอาดก่อนที่จะทำให้แห้ง ในกระบวนการแบบเปียก เนื้อผลไม้ที่หุ้มเมล็ดและเมล็ดจะถูกเอาออกก่อนนำไปตากแห้ง กาแฟที่ผ่านกรรมวิธีแบบเปียกเรียกว่ากาแฟแปรรูปแบบเปียกหรือแบบล้าง ซึ่งวิธีการแบบเปียกต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะและปริมาณน้ำจำนวนมาก
จากนั้นจึงคัดแยกผลเชอร์รี่กาแฟโดยการแช่น้ำ ผลที่ไม่ดีหรือไม่สุกจะลอยลอย ส่วนผลสุกที่ดีจะจมลงไป ผิวของเชอร์รี่และเนื้อบางส่วนจะถูกเอาออกโดยใช้เครื่อง โดยการล้างผลไม้ในน้ำผ่านตะแกรง เมล็ดกาแฟยังคงมีเนื้อติดอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งจำเป็นต้องเอาออก ซึ่งทำได้โดยวิธีการหมักและล้างแบบคลาสสิกหรือขั้นตอนที่ใหม่กว่าซึ่งเรียกกันว่าการขั้นตอนแบบเปียกโดยใช้เครื่องช่วย
เชื่อหรือไม่ว่าการเตรียมก่อนกระบวนการคั่วนี้ส่งผลต่อรสชาติ! เมื่อทำให้แห้งตามธรรมชาติ จะได้สัมผัสถึงรสชาติผลไม้มากขึ้น เนื่องจากการหมักน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อเยื่อ อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้จะทำให้ได้รสชาติที่สดชื่นยิ่งขึ้น เนื่องจากจะกำจัดเนื้อและน้ำตาลผลไม้ทั้งหมดที่ส่งผลต่อเมล็ดกาแฟออกไป ทำให้รสชาติของเมล็ดกาแฟบริสุทธิ์ซึมซับออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ เมล็ดกาแฟแต่เดิมจะมีสีเขียวและมีกลิ่นหญ้า! สีน้ำตาลเข้มข้น รสชาติและกลิ่นหอมอันยอดเยี่ยมที่เราทุกคนชื่นชอบนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากกระบวนการคั่วอย่างระมัดระวังหลังการเก็บเกี่ยว เมื่อใส่เมล็ดกาแฟลงในถังคั่วของเครื่องคั่วกาแฟและเริ่มร้อนขึ้น กระบวนการนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเมล็ดกาแฟเนื่องจากถูกนำไปคั่วอุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่เหมาะสมสำหรับการคั่วนั้น ๆ มันจะถูกทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดการคั่วต่อไป กระบวนการนี้อาจฟังดูค่อนข้างง่าย แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่าผ่านการคั่วให้ได้มาตรฐานที่ถูกต้อง
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการคั่วกาแฟได้ในคำแนะนำของเรา
การคั่วกาแฟทั่วไปมีอยู่สี่ประเภท โดยทุกประเภทจะมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะถูกดึงออกมาในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการคั่ว
1.กาแฟคั่วอ่อน
กาแฟคั่วอ่อนเรียกอีกอย่างว่า 'การแคร็กครั้งแรก' เนื่องจากเมล็ดกาแฟอยู่ในขั้นตอนแรกของการขยายและการแคร็ก
การคั่วกาแฟประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อเมล็ดกาแฟมีอุณหภูมิภายในระหว่าง 180°c - 205°c และมีสีอ่อนมาก และแห้งโดยไม่มีน้ำมันอยู่บนพื้นผิวเลย รสชาติจะค่อนข้างเป็นกรด แต่จะได้กลิ่นของผลไม้ที่กลิ่นหอมมากขึ้นเช่นกัน
ชอบดื่มกาแฟขคั่วอ่อนไหม? ทำไมไม่ลอง Nescafe Red Cup ของเราล่ะ? รสชาติกลมกล่อมและคั่วอ่อนจนสมบูรณ์แบบ หรือหากต้องการสัมผัสรสชาติที่ซับซ้อนที่สุด ขอแนะนำให้ลอง NESCAFÉ® GOLD BLEND Roastery Collection Light Roast ของเรา คุณจะได้สัมผัสถึงความหวานด้วยน้ำผึ้งคาราเมลเข้มข้นและบิสกิตปิ้ง นักคั่วระดับปรมาจารย์ของเราผสมผสานงานฝีมือที่สั่งสมมายาวนาน 50 ปีและเทคโนโลยีการคั่วอันชาญฉลาดเพื่อสร้างการผสมผสานที่ยากจะลืมเลือน
ตามชื่อที่แนะนำ กาแฟคั่วปานกลางจะมีสีน้ำตาลปานกลาง แห้ง และโดยทั่วไปจะมีรสชาติที่สมดุลมากกว่า กาแฟคั่วชนิดนี้คั่วที่อุณหภูมิระหว่าง 210°C - 220°C และเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน เนื่องจากรสชาติ กลิ่น และความเป็นกรดผสมผสานกันอย่างลงตัว และบ่อยครั้งที่จะได้รสชาติที่หวานกว่าเล็กน้อยและกลิ่นที่เข้มข้นกว่าด้วย
หากคุณต้องการรสชาติและกลิ่นหอมที่สมดุลมากขึ้น ลองใช้ NESCAFÉ® GOLD CREMA SMOOTH ของเรา คุณจได้สัมผัสความเรียบเนียน เข้มข้น แต่กลมกล่อม หรือบางที NESCAFÉ® AZERA Americano อาจเหมาะกับคุณด้วยครีมาเนื้อนุ่มที่ไม่อาจต้านทานได้
กาแฟคั่วเข้มคือ รูปแบบการคั่วที่โดดเด่นที่สุด โดยกาแฟคั่วเข้มจะถูกคั่วที่อุณหภูมิระหว่าง 240°c - 250°c การคั่วประเภทนี้มีสีดำมีผิวมันและมีรสขมมาก รสชาติมีความเด่นชัดมากและมีกลิ่นคาราเมลที่เข้มข้นในกาแฟคั่วประเภทนี้
เมล็ดกาแฟคั่วเข้มปานกลางและเข้มจะต้องผ่านสิ่งที่เรียกว่า 'รอยแตกที่สอง' ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการคั่ว 'การแตกครั้งแรก' คือเวลาที่เมล็ดกาแฟจะได้ยินเสียงดังเหมือนป๊อปคอร์นหรือพองขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ 'การแตกครั้งที่ 2' จะเป็นเสียงที่นุ่มนวลกว่าเล็กน้อย หมายความว่าหากกระบวนการคั่วดำเนินไปนานพอ เมล็ดกาแฟจะผ่านกระบวนการแตกร้าวครั้งที่สอง ซึ่งมักเกิดจากน้ำมันเริ่มเคลื่อนตัวจากด้านในของเมล็ดกาแฟออกสู่ด้านนอก
สำหรับผู้ที่ชอบกาแฟคั่วเข้ม กาแฟ NESCAFÉ® GOLD BLEND Roastery Collection Dark Roast ของเราเหมาะสำหรับคุณโดยเฉพาะ ด้วยโน๊ตของดาร์กช็อกโกแลตและกลิ่นคั่วเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้น รับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวัง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น NESCAFÉ® Black Roast ของเราคือคำตอบเดียว ใช้เฉพาะเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จึงผ่านกระบวนการคั่วอย่างระมัดระวังโดยนักคั่วระดับปรมาจารย์ และคั่วนานจนเป็นสีดำแต่ไม่ไหม้ ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นไม่เหมือนส่วนผสมอื่น ๆ